
3 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่สำหรับ 3 ปีในมุมมองของผู้บริหารธุรกิจไอทีคงเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่าจะผ่านไปได้ ด้วยตัวแปรที่พร้อมสกัดดาวรุ่งธุรกิจที่ต่างก็แวะเวียนเข้ามาตลอด 3 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ, การเมือง และภัยธรรมชาติที่ผู้นำบริษัทไหนอ่อนแออาจได้เจ็บหนักไปตามๆ กัน
แต่คงไม่ใช่สำหรับนักบริหารที่ชื่อ “เออิจิ คาโตะ” ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัดที่แม้จะมีวาระการทำงานในไทยครบ 3 ปีตามคำสั่งของบริษัทแม่ในญี่ปุ่นแล้ว แต่ปีนี้ “คาโตะ” ยังตัดสินใจขอต่อดีลครั้งนี้ออกไปอีก 2 ปีด้วยเหตุผลที่ว่ายังติดใจบรรยากาศการทำงานแบบไทยๆ และวัฒนธรรมที่ปรับจูนกันได้อย่างลงตัว
ภาษาไม่เป็นปัญหา
แม้ว่าไทยจะไม่ใช่ประเทศแรกที่ได้ออกไปทำงานนอกประเทศญี่ปุ่น แต่ก็เป็นประเทศที่การปรับตัวไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้
“การทำงานในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ซึ่งสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานนอกประเทศบ้านเกิดคือ การปรับตัว และยอมรับความแตกต่างของแต่ละที่ให้ได้ ในความรู้สึกผมไทยเป็นประเทศที่ปรับตัวได้ง่าย และคนไทยก็มีความรู้สึกที่ดีกับคนญี่ปุ่นมากกว่ายุโรป ทำให้การทำงานที่ผ่านมาแม้จะมีอุปสรรคเรื่องภาษาแต่ก็ยังทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น”
คาโตะบอกว่า ตลอดช่วงเวลาการทำงานในไทย 3 ปีที่ผ่านมา แม้จะสื่อสารกับทีมงานคนไทยด้วยภาษาไทยไม่ได้ทั้งหมด แต่ทีมเวิร์คที่ดี และทีมบริหารที่ดีทำให้ไอเดีย หรือนโนบายการบริหารงานต่างๆ ยังสื่อสารไปยังพนักงานเอปสันไทยทุกคนได้ด้วยดี
วัดผลได้จากประสิทธิภาพการทำงาน และยอดขายที่ยังเติบโตได้เป็นไปตามเป้า หรือมากกว่า 10% อย่างต่อเนื่องทุกปี แม้ว่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมาจะเกิดความท้าทายใหม่ๆ เข้ามาพิสูจน์ความแข็งแกร่ง และการตัดสินใจการบริหารแบบไม่มีเว้นช่วง
นอกจากนี้หน้าที่รับผิดชอบในไทยก็ยังเป็นโอกาสที่ “คาโตะ” เชื่อว่าจะทำให้ได้เรียนรู้งานที่กว้างมากกว่าการทำงานในบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น และโอกาสที่จะได้บุกเบิกสิ่งใหม่ๆ ได้ง่ายกว่า ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ทำให้การบริหารในสไตล์ของคาโตะยังคงสร้างการเติบโตให้บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่ากันที่ธรรมชาติของคนในโลกของเทคโนโลยีที่มักจะมีจุดอ่อนในเรื่องของการคิดแบบนักธุรกิจ แต่สำหรับ “คาโตะ” ซึ่งเป็นอดีตวิศวกรในหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของเอปสัน แต่สนใจงานด้านการตลาดและบุคลิกที่ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำให้เขาได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญๆ ในหลายหน่วยงานทั่วเอเชีย และยุโรป ก่อนจะเป็นผู้บริหารให้แก่เอปสันไทยในปัจจุบัน
“คาโตะ” จึงเป็นผู้บริหารลูกหม้อของแท้ยี่ห้อเอปสันที่กำลังจะพิสูจน์ให้เห็นว่า การศึกษายังไม่สำคัญเท่ากับประสบการณ์ และความชอบในงานที่ทำ
ความท้าทายครั้งใหม่
ในสภาพธุรกิจเครื่องพิมพ์ที่แบรนด์ของเอปสันติดอันดับต้นๆ ของตลาดเครื่องพิมพ์ไทยได้แล้วทั้งระดับองค์กร และผู้ใช้ทั่วไป ดังนั้นเป้าหมายต่อไปจึงถูกร่างขึ้นใหม่ทันที
“อีก 2 ปีที่ยังได้ทำงานอยู่ในประเทศไทย ผมอยากจะเริ่มธุรกิจใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นการนำเข้าหุ่นยนต์โรงงาน เพราะมองซ้าย มองขวาแล้ว ประเทศไทยโรงงานเยอะมาก ไม่เฉพาะบริษัทญี่ปุ่นเท่านั้น แต่เป็นฐานผลิตของธุรกิจหลายๆ อย่าง เช่น ฮาร์ดดิสก์ ทำให้เราเริ่มมองว่าน่าจะเป็นจังหวะดีที่จะดึงเอาธุรกิจที่เอปสันมีอยู่ในต่างประเทศเข้ามาทำตลาดไทยบ้าง” ผู้บริหารวัย 51 ปีว่า
นอกจากนี้ยังเป็นช่วงที่ธุรกิจใหม่น่าจะตอบโจทย์ปัญหาเรื่องค่าจ้างแรงงานในไทย เพราะถ้าหากโรงงานต่างๆ หันมานำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยในการผลิตได้มากขึ้นก็จะช่วยลดต้นทุนด้านค่าแรงได้มาก แต่อย่างไรก็ตามเขาย้ำว่า ยังต้องใช้เวลาคิดแผนธุรกิจอย่างรอบคอบก่อน
ทั้งนี้ แผนคร่าวๆ คงจะเป็นการนำเข้าสินค้าในกลุ่มหุ่นยนต์โรงงานเข้ามา โดยเน้นโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าขนาดเล็ก และต้องใช้ความละเอียด เช่น อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์
คาโตะบอกว่า ที่เลือกธุรกิจนี้ เพราะต้องการลองตลาดใหม่ๆ อย่างเช่นกลุ่มอุตสหากรรมที่เอปสันยังไม่เคยเข้ามาจับอย่างเต็มตัว จากที่ผ่านมาจะเน้นการขายเครื่องพิมพ์, โปรเจคเตอร์ และเครื่องพิมพ์ฉลากสำหรับตลาดผู้ใช้งานทั่วไป และองค์กรธุรกิจต่างๆ เท่านั้น
ขณะที่ในไทยมีโรงงานมาก และยังต้องขยายการลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ค่าจ้างแรงงานก็เพิ่มสูงขึ้น ส่วนแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านก็เริ่มเป็นตลาดที่แข็งแกร่งขึ้น และเริ่มไม่ง่ายที่จะจ้างเข้ามาทำงานในไทย ดังนั้นการใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วยทำงานอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ปรับรับการเติบโต
อย่างไรก็ตาม ส่วนของการบริหารงาน “คาโตะ” ย้ำว่า ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไรที่ยิ่งใหญ่ เพราะทีมงาน และโครงสร้างที่มีอยู่ดีอยู่แล้ว แต่อาจจะเป็นการปรับปรุงเล็กๆ น้อย แบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้รับกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพตลาด
ส่วนธุรกิจหลักซึ่งก็คือ การทำตลาดเครื่องพิมพ์และโปรเจคเตอร์ก็จะยังคงมีแผนการตลาดใหม่ๆ ออกมาให้เห็นเพิ่มขึ้นในปีนี้ควบคู่ไปกับการวางแผนเริ่มต้นธุรกิจใหม่
“ความท้าทายที่สุดที่คิดออกตอนนี้คือ การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ในไทยที่แม้จะเป็นธุรกิจที่เอปสันมีอยู่แล้วในตลาดโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ ในตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดที่มีตัวแปรขึ้นลงตลอดเวลาอย่างไทย แต่ก็เป็นความเสี่ยงและโอกาสธุรกิจที่คิดว่าจะทำแน่นอน” ผู้บริหารที่หลงเสน่ห์ไทยว่า
[ที่มา www.bangkokbiznews.com]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น