Advertisment

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

“นครนายก” นำร่อง “สมาร์ทซิตี้”


สำหรับนโยบาย “สมาร์ทไทยแลนด์” นโยบายรัฐบาลซึ่งขับเคลื่อนโดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เริ่มเดินหน้าไปอีกขั้น

โดย “น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีกล่าวว่า สมาร์ทซิตี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ สมาร์ทไทยแลนด์จะเริ่มที่จังหวัดนครนายกเป็นแห่งแรก เพื่อให้เห็นข้อดี-ข้อเสียของโครงการโดยรวม ซึ่ง “สมาร์ทซิตี้” ต้องตอบโจทย์ 12 ด้าน ทั้งด้านการท่องเที่ยว, การศึกษา, การทำธุรกรรมภาครัฐ เป็นต้น

“สมาร์ทซิตี้” ที่จังหวัดนครนายกจะทำให้การทำธุรกรรมของภาครัฐในส่วนของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข มีลักษณะเป็นการให้บริการในเชิงอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยผู้ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ มีทั้งบริษัท กสท โทรคมนาคม, บมจ.ทีโอที, ภาคเอกชน รวมถึงทีมงานในจังหวัดนครนายก คาดว่าจะเซ็นเอ็มโอยูกับกระทรวงมหาดไทยได้ภายในเดือน ก.พ.นี้ ก่อนเดินหน้าโครงการ

“เราเลือกนครนายกเพราะจะทำได้ ทุกคนต้องมีความรู้ความสนใจ ผู้ว่าฯจังหวัด นครนายก เป็นด็อกเตอร์ด้านนี้ ทั้งเป็นจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เน็ตเวิร์กครบ เหลือแค่ทำเครือข่ายปลายทาง จึงเหมาะที่จะเป็นจังหวัดนำร่อง มีลักษณะเหมือนประเทศ

เล็ก ๆ ผสมผสานทั้งส่วนราชการ, การท่องเที่ยว และภาคเกษตรกรรม ทั้งใช้ทดสอบอุปสรรคการใช้งานไอทีจากลักษณะภูมิประเทศได้ด้วย เนื่องจากตัวจังหวัดมีพื้นที่ที่เป็นภูเขา”

สำหรับภาพใหญ่ของ “สมาร์ทไทยแลนด์” จะมี 3 เรื่องหลักคือ สมาร์ทเน็ตเวิร์ก, สมาร์ทคลาวด์ และสมาร์ทคอนเทนต์ ซึ่งทั้ง 3 ฐานถือเป็นองค์ประกอบของ “สมาร์ทเซอร์วิส” ที่ทำให้บริการต่าง ๆ ง่ายขึ้น สะดวกสบายขึ้น เช่น อีแบงกิ้ง, สมาร์ทออฟฟิศ เช่น การทำชิปเก็บข้อมูลในบัตรประชาชนแบบใหม่ และสมาร์ทซิตี้

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโครงการทำศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชน 1,880 แห่ง และศูนย์บัญชาการและควบคุมความเดือดร้อน ซึ่งจะเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วนำมาบูรณาการสำหรับใช้ประโยชน์ในอนาคต

“4 เดือนสมาร์ทไทยแลนด์มีความก้าวหน้าและชัดเจนกับเป้าหมาย เชื่อว่าจะทำให้ระดับการพัฒนาด้านไอทีของประเทศดีขึ้น หลังจากที่ในปี 2554 อันดับของเราตกลงมาอยู่ที่ 59 ขณะที่เพื่อนบ้านอย่างประเทศเวียดนามขึ้นมาอยู่ในอันดับ 55 ซึ่งเราอนุมานว่า 5 ปีหลังการปฏิวัติทิศทางนโยบายรัฐเป็นจุดอ่อน แต่จะกลับมาเป็นจุดแข็งหลังจากมีรัฐบาลที่มีเสียงมากกว่าครึ่งได้”

[ที่มา www.prachachat.net]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น